7 ปี…มหากาพย์คดีพิเศษทุจริตเงินค่าล่วงเวลาการท่าเรือฯ 3,300 ล้านบาท ไม่มีคนผิดแม้แต่รายเดียว !! เปิดคำพิพากษาคดีการท่าเรือแห่งประเทศไทยร้อง ดีเอสไอ ฟ้องพนักงานการท่าเรือฯ 560 คนทุจริตเบิกจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเพิ่มเติม ในช่วงปี พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2555 ทำให้รัฐเสียหาย 3,300 ล้านบาท แต่ ดีเอสไอ ผ่านมา 7 ปี ส่งฟ้องได้แค่ 34 คน สุดท้ายศาลยกฟ้องทั้งหมด ไม่มีความผิดแม้แต่คนเดียว !! ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท ๑๕๐/๒๕๖๗ คดีหมายเลขแดงที่ อท ๔๘/๒๕๖๘ วันที่ ๑๘ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ความ อาญา พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปราบการทุจริต ๑ โจทก์ จำเลยที่ 1 – 34 ประกอบด้วย นายจงเด่น บุตรสุทธิวงศ์,นายระพี สุทเธนทร์,นายบุญช่วย ยี่สุ่นแย้มกลิ่น,นายประชิด ปะโกสันตัง,นายจักรเทวัญ อัจฉราโยธิน,นายสมโภชน์ น้อยศรี,นายวีระ สินธุอุดม,นายกิตติวัฒน์ ฐิติคุณภักดีเลิศ,นายสุเมธ จันทรสมโภชน์,นายธนภูมิ กองจินดา,นายนิธิศ เจริญสุข,นายอัมพร จันทร์สุวรรณ,นายนพชัย ปานวิลัย,นายชาติชาย ศรีอินทรสุทธิ์,นายอัสพงศ์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา,นายชาญ เปรมมานุพันธ์,นายภานพ ช่วงชัย,นายธนกร ตันอิ่ม,นายประยุทธ มาลัย,นายเฉลียว สุขเกษม,นายปฐพล จันทเพ็ชร์,นายประจวบ ศิริ,นายนภัส ชัยสิทธิ์,นายหิรัญ กฤษณะภาณุ,นายพีระ ทองเหม,นายประจักษ์ ไชยเวทย์วิทยา,นายธีระวัจน์ ไววรกิจ,นายจิราวัฒน์ รัฐสิมะพงศ์,นายวรพล อินทร์น้อย,นายธนศักดิ์ วงษ์ทองคำ,นายสันติ ตะโกอินทร์,นายทรงพันธ์ สาคร,นายเนชัย ฉิมเฉิด,นายธเณศ คงแถลง ….. ต่อมาวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗ โจทก์ (จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ ในคดีนี้) ขออ้างส่งตารางคำนวณเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่ จำเลยแต่ละคนตามฟ้อง ศาลรับไว้หมาย จ.๑ ถึง จ.๓๒ และคู่ความทั้งสองฝ่ายรับข้อเท็จจริง ร่วมกันว่า โจทก์ (จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ ในคดีนี้) แต่ละคนได้รับเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามที่ปรากฎในตารางคำนวณเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๓๒ จริง ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาศาลแรงงานกลาง เอกสารหมาย จ.๑๒๙ หน้า ๒๗๑๙๕ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามสิบสี่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โจทก์มีนางสาวชะลิดา เสาวพันธ์ ผู้ช่วยหัวหน้า กองตรวจจ่าย ฝ่ายการเงิน นายกัมปนาท อิ่มแสงจันทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของท่าเรือกรุงเทพ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และนายวิโรจน์ ทูคำมี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ เบิกความทำนองเดียวกันว่า ทางปฏิบัติของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หากผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าของผู้ที่ขอเบิกเงินล่วงเวลาลงลายมือชื่อรับรองก็ถือว่าเบิกเงินค่าทำงานล่วงเวลาได้ตามระเบียบ และเรือเอกรุจน์ สุขปรีดี เบิกความว่า พยานเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสายทรัพยากรบุคคลและบรรษัทภิบาล ดูแลการบริหารงานบุคคลของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเกษียณอายุแล้ว การเบิกจ่ายค่าล่วงเวลาไม่พบการทุจริตสอดคล้องกับบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.๒๐ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ทางปฏิบัติของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หากผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าของผู้ที่ขอเบิกเงินล่วงเวลา ลงลายมือชื่อรับรองก็ถือว่าเบิกงานล่วงเวลาได้ตามระเบียบ ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่ยืนยันถึงการมาปฏิบัติงานของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ โจทก์คงมีเพียงข้อมูลการลาที่คัดลอกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่มีใบลาที่แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ ไม่มาปฏิบัติงาน ซึ่งในข้อนี้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๔ ที่ ๑๖ ถึงที่ ๑๘ ที่ ๒๐ ที่ ๒๑ ที่ ๒๓ ถึงที่ ๒๘ ที่ ๓๐ ที่ ๓๑ และที่ ๓๓ ก็ให้การต่อสู้ว่า จำเลยดังกล่าวมาทำงาน แต่เหตุที่ยื่นใบลาเนื่องจากมาทำงานไม่ทันเวลาเข้างาน ๘.๓๐ นาฬิกา เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่ยืนยันถึงการมาปฏิบัติงานของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ คงมีเพียงข้อมูลการลาที่คัดลอกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่มีใบลา จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ ไม่มาปฏิบัติงานตามที่เบิกเงินค่าทำการล่วงเวลา ประกอบกับการเบิกเงินค่าทำการล่วงเวลาของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ มีจำเลยที่ ๓๑ ถึงที่ ๓๓ ลงลายมือชื่อรับรอง จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ เบิกเงินล่วงเวลาได้ตามระเบียบแม้ในส่วนของจำเลยที่ ๑ โจทก์จะมีหลักฐานการโดยสารเครื่องบินตามเอกสารหมาย จ.๙๒ หน้า ๕๔๕๔ นั้น ซึ่งตรงกับคำฟ้องข้อ ๒.๑ ในข้อนี้จำเลยที่ ๑ ๑ ได้นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนเวรพนักงานคนอื่นที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน ซึ่งการเบิกเงินล่วงเวลาได้จะต้องเบิก จำเลยที่ ๑ เดินทาง ๔ วัน แล้วแลกคู่เวร ๔ วัน การอยู่เวรแทนกันจะไม่มีการทำหนังสือเปลี่ยนเวร เมื่อพิจารณาคำฟ้องข้อ ๒.๑ แล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓๑ และที่ ๓๓ ลงลงลายมือชื่อรับรอง จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เบิกเงินค่าล่วงเวลาได้ตามระเบียบ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๓ กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต สำหรับความผิดฐานจำเลยที่ ๑ และที่ ๒๑ เบิกความเท็จและนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จโดยมีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๒๐ ที่ ๒๒ ถึงที่ ๓๐ และที่ ๓๔ เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒๑กระทำความผิด โจทก์มีนายวิโรจน์ ทูคำมี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษเบิกความว่า พยานหลักฐานที่อ้างว่าเท็จนั้น ปรากฏตามตารางคำนวณค่าล่วงเวลาทำงาน ในวันหยุดเอกสารหมาย จ.๙๖ หน้า ๖๑๑๘ ถึง ๖๑๕๙ เป็นการจัดทำตามเอกสารหมายหน้า ๖๑๖๔ ถึง ๖๔๑๕ ซึ่งเป็นเอกสารที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยส่งมาที่ศาลแรงงานกลาง เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ กับการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งที่ศาลแรงงานกลางคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๒-๑๗๖/๒๕๕๕๗ คดีหมายเลขดำที่ ๗๗๔-๗๗๗๘/๒๕๕๕๗ และคดีหมายเลขดำที่ ๘๑๕-๘๑๖/๒๕๕๕๗ คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันให้ฝ่ายโจทก์จัดทำตารางคำนวณเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่จำเลยแต่ละคนขอมาตามฟ้อง โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันทำงาน อัตราค่าจ้าง และจำนวนเงินที่กล่าวอ้างและมีคำขอให้ชำระตามฟ้อง เพื่อศาลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจสอบซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาในการจัดทำตารางประมาณหนึ่งเดือน ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาศาลแรงงานกลาง ฉบับลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เอกสารหมาย จ.๑๒๙ หน้า ๒๗๒๐๑ ต่อมาวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๐ ขออ้างส่งตารางคำนวณเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่จำเลยแต่ละคนตามฟ้อง ศาลแรงงานกลางรับไว้เป็นเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๓๒ และคู่ความทั้งสองฝ่ายรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า จำเลยแต่ละคนได้รับเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดจากการท่าเรือ แห่งประเทศไทย ตามที่ปรากฏในตารางคำนวณเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๓๒ จริง ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาศาลแรงงานกลาง เอกสารหมาย จ.๑๒๙ หน้า ๒๗๑๙๕ เท่ากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ยอมรับความถูกต้องของตารางคำนวณเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเอกสารหมาย จ.๑ ถึงจ.๓๒ แล้ว เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารเท็จ การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒๑ เบิกความและนำสืบเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการเบิกความเท็จและนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เมื่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒๑ ไม่ได้กระทำความผิด จำเลยที่ ๒ ๒ ถึงที่ ๒๐ที่ ๒๒ ถึงที่ ๓๐ และที่ ๓๔ จึงไม่เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒๑ กระทำผิดดังกล่าวแม้จำเลยที่ ๑๕ ที่ ๑๙ ที่ ๒๒ ที่ ๒๙ ที่ ๓๒ จะให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑๕ ที่ ๑๙ ที่ ๒๒ ที่ ๒๙ และที่ ๓๒ กระทำความผิด ศาลมีอำนาจ ยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๕ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามสิบสี่กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๔ ที่ ๑๖ ถึงที่ ๑๘ ที่ ๒๐ ที่๒๑ ๒๓ ๒๓ ถึงที่ ๒๘ ที่ ๓๐ ที่ ๓๑ ๓๓ และที่ ๓๔ พิพากษายกฟ้อง./ นายปิติ แย้มชื่น นายสมนึก สอทา



