ผู้เสียหายถูกรุมทำร้ายร่างกายอาการสาหัส ร้อง “จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่” พาเข้ากองปราบฯ หลังแจ้งความคดีไม่คืบหน้า

ผู้เสียหายถูกรุมทำร้ายร่างกายอาการสาหัส ร้อง “จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่” พาเข้ากองปราบฯ หลังแจ้งความคดีไม่คืบหน้า

“นายต้น” เหยื่อถูกทำร้ายปางตาย ร้อง “จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่” ช่วยเหลือถูกรุมกระทืบ-ไม้เบสบอลตี ทรัพย์สินหาย เจ็บหนัก ซี่โครงหัก-จมูกหัก-หน้าผากแตก คดีไม่คืบหน้าเกือบเดือน

เวลา 11.00 น. วันที่ 28 ต.ค.68 ที่บริเวณหน้าแดนเนรมิตเก่า ริมฟุตบาท จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ. พร้อมทีมงาน ได้พา นายต้น (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ถูกรุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมและติดตามความคืบหน้าทางคดี หลังเกิดเหตุมาตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่คดีที่ได้แจ้งความไว้ที่ สน.บางปู ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

นายต้น(อาชีพขับรถโม่ปูน) ผู้เสียหาย เปิดเผยถึงเหตุการณ์ว่า วันเกิดเหตุ ตนได้ไปตกปลาและกำลังขับรถกระบะกลับบ้าน เมื่อพบกับเพื่อนจึงได้ “เบิ้ลรถ” หยอกล้อเพื่อน แต่รถของตนได้ขับผ่านหน้าบ้านของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งตะโกนว่า “เบิ้ลรถทำไม เด็กมันเยอะ” ตนจึงได้ลงจากรถและยกมือไหว้ขอโทษ แต่หลังจากขับรถออกมาได้ไม่นาน ตนได้จอดรถคุยกับเพื่อน ผู้ก่อเหตุพร้อมพวกได้เดินเข้ามารุมทำร้ายตนทันที

“พวกเขาเดินมาก็รุมกระทืบผมเลย เอาไม้เบสบอลตีที่ท้ายทอย, แขน, จมูกหัก, ซี่โครงหัก, หน้าผากแตก และกระชากทองผมไปด้วย” นายต้นกล่าวถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น

ผู้เสียหายระบุถึงอาการบาดเจ็บสาหัสที่ได้รับว่า หน้าผากต้องเย็บ 6 เข็ม, จมูกเย็บอีก 6 เข็ม, และทองคำหนัก 50 สตางค์ หายไปครึ่งหนึ่ง
หลังเกิดเหตุ แฟนสาวของนายต้นได้เข้าแจ้งความที่ สน.บางปู ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. เวลา 21.47 น. แต่จนถึงขณะนี้ คดีดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทำให้ตนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเพจ “จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่” ให้ช่วยนำเรื่องมาร้องต่อกองปราบปราม เพื่อให้มีการดำเนินการสืบสวนและนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด

อาจารย์มานพ สีเหลือง นักบัญชีและนักสื่อสารเพื่อสังคม

เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาความรุนแรงที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะ ‘ไม้เบสบอล’ กลายเป็นอาวุธที่ถูกใช้ทำร้ายคนบ่อยขึ้นในช่วงหลัง ๆ ทั้งที่เป็นเพียงอุปกรณ์กีฬา แต่เมื่ออยู่ในมือคนที่ไม่มีสติ มันอันตรายยิ่งกว่าอาวุธมีด เพราะสามารถพกพาได้โดยไม่ผิดกฎหมายชัดเจน

ผู้เสียหายอย่างนายต้น ไม่เพียงเจ็บกายถึงขั้นซี่โครงหัก จมูกหัก หน้าผากเย็บ แต่ยังเสียทรัพย์สิน ทองหายไป และภรรยาต้องออกจากงาน และสามีกำลังจะตกงาน รวมทั้งเรื่องร่างกาย จิตใจ และความมั่นใจในสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฟื้นยากกว่าบาดแผลภายนอก

ที่น่าห่วงที่สุดคือ ความเงียบในระบบยุติธรรมที่กินเวลานานถึง 33 วันโดยไม่มีความคืบหน้า แม้จะได้ติดต่อตำรวจไปแต่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากแค่บันทึกประจำวัน จนผู้เสียหายต้องมาร้องกองปราบฯ ด้วยตัวเอง นี่คือสัญญาณของ ‘ความยุติธรรมที่หายไป’ ซึ่งทำให้ประชาชนเริ่มไม่ไว้ใจในกระบวนการยุติธรรมของรัฐ




You May Also Like